มะเร็งตับ
สาเหตุ : การค้นหามะเร็งในระยะที่ไม่แสดงอาการในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงมีความสำคัญมาก
แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง (เพศชายอายุ 40 ปีขึ้นไป และเพศหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป) และผู้ป่วยตับแข็ง ควรรับการตรวจเฝ้าระวังการเกิดมะเร็งตับอย่างสม่ำเสมอ

    • สารอะฟลาท็อกซิน เช่น ถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง เป็นต้น
    • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    • เชื้อไวรัสตับอีกเสบบีและเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
  • ได้รับยาหรือสารเคมีบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น คนในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งตับ ตับแข็ง
  • ระบบเมตาบิลิสซึ่ม เช่น ไขมันในเลือดสูง ไขมันพอกตับ โรคเบาหวาน

อาการ : ระยะแรกของโรคมะเร็งตับ มักไม่มีอาการผิดปกติ แต่เมื่อก้อนเนื้อร้ายมีขนาดใหญ่ขึ้นจะพบอาการ ดังนี้

  • ปวดท้องด้านขวาบน หรือบริเวณชายโครงขวา
  • คลำได้ก้อนบริเวณใต้ชายโครงขวา
  • ท้องอืดแน่นบวมโตขึ้น เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • ตัวเหลืองตาเหลือง

การตรวจ : ควรตรวจเช็คสุขภาพประจำปี และไม่เพียงแต่ตรวจเช็คเลือดเท่านั้น การทำอัลตราซาวด์ช่องท้อง จะเป็นเครื่องมือที่คุ้มค่าที่จะใช้ตรวจพบมะเร็งระยะแรกของตับ เมื่อพบก้อนขนาดเล็กก็จะให้ผลการรักษาที่ดีได้

  • เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
  • ค่ามะเร็งตับจากการเจาะเลือด (AFP)
  • การตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง( Ultrasound Abdomen)

การรักษา :

  • การผ่าตัด, การปลูกถ่ายตับ, การให้ยาเคมีบำบัดหรือยาพุ่งเป้า
  • การรักษาเฉพาะจุดที่ตับด้วยวิธีรังสีร่วมรักษา (Interventional Radiology) โดยแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลจุรีเวช
    1. การทำลายก้อนมะเร็งที่ตับด้วยการให้ยาเคมีเฉพาะจุด (TACE: Trans Arterial Chemo Embolization) ข้อบ่งชี้ คือ
      1. ก้อนมีขนาดใหญ่หรือหลายก้อน
      2. ก้อนมะเร็งที่ตับแตกมีเลือดออก
      3. เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการผ่าตัดสูง เพราะไม่ต้องดมยาสลบ เจ็บน้อย โอกาสเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงหลังทำน้อย
    2. การทำลายก้อนมะเร็งตับด้วยการจี้ความร้อน
      1. ใช้ความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency Ablation: RFA)
      2. ใช้ความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟ (Microwave Ablation : MWA)

ติดต่อสอบถาม  แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลจุรีเวช
โทร . 043-518019-26 ต่อ 8608

แชร์หน้านี้ :